รีวิวหนัง 13 Reasons Why: Season 2 (2018)

หากพูดถึงซีรี่ส์ของ Netflix ต้องมีเรื่องนี้อยู่ด้วยครับ 13 Reasons Why ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากแฟนๆ หนังสือดีมากๆ หลังจากที่ซีซั่นแรกได้มีการปล่อยลงบริการสตรีมมิ่งของ Netflix เพียยงคืนเดียว ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าซีซั่นแรกผมชอบมากๆ เพราะซีรี่ส์ไม่ได้เป็นแค่ซีรี่ส์วัยรุ่นธรรมดาทั่วไป แต่เป็นซีรี่ส์ที่พูดถึงการ Bully ในสังคมโรงเรียนที่เรียลมากๆ ด้วย แต่ผมว่าซีรี่ส์เรื่องนี้ค่อนข้างแนะนำให้คนอื่นดูยากเหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่ซีรี่ส์ที่ดูแล้วจบๆ ไป มันจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของซีรี่ส์ที่ยังตกตะกอนอยู่ในหัวเราหลังจากดูจบแล้ว และพอคิดไปคิดมาเรื่อยๆ ไมเกรนก็จะเริ่มถามหา555 บางทีก็เล่นเอาไข้รับประทานกันเลยทีเดียว พอซีซั่นสองปล่อยออกมา ผมก็ต้องเปิดดูเป็นธรรมดาครับ แต่ก็ลดความคาดหวังลงมาอยู่ในระดับนึงแหละ เพราะคำวิจารณ์ใน Rotten Tomatoes ออกมาไม่จืดเลย แต่พอดูจบกลับไม่ได้รู้สึกเหมือนนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ใน RT เลย รีวิวหนังไทย

13 Reasons Why ซีซัน 2 เล่าถึงเหตุการณ์และสภาพจิตใจของผู้คนหลังการฆ่าตัวตายของนางเอก ฮันนาห์ เบเกอร์ (รับบทโดย แคทเธอรีน แลงฟอร์ด) ในซีซันแรก ซึ่งคุณแม่ของเธอ โอลิเวีย เบเกอร์ (รับบทโดย เคต วอลช์) ได้ตัดสินใจฟ้องร้องลิเบอร์ตี้ไฮสคูลข้อหาปล่อยให้ลูกสาวโดนรังแก และส่งผลต่อจิตใจจนทำให้เธอตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง

ในแต่ละตอนจะมีตัวละครมาให้ปากคำในชั้นศาล (ตัวละครเหล่านี้ล้วนอยู่ในเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์พูดถึงในซีซันแรก) ส่วนทนายของฝ่ายโรงเรียนเองก็จะพยายามโต้กลับว่าเหตุการณ์การรังแกเกิดขึ้นนอกรั้วโรงเรียน และเป็นเพราะการตัดสินใจของฮันนาห์เองที่ทำให้เธอพบเจอปัญหาต่างๆ แต่จุดหักมุมก็เกิดขึ้นหลังจากพระเอก เคลย์ เจนเซน (รับบทโดย ดีแลน มินเนตต์) ตัดสินใจปล่อยเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์ได้อัดไว้สู่สาธารณะเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งก็พลิกรูปแบบคดีและทำให้ทุกอย่างเข้มข้นขึ้น

 เนื้อหาในซีซั่นนี้นั้น จะแตกต่างจากซีซั่นแรกแทบจะสิ้นเชิง ในซีซั่นแรกนั้นเราจะสนุกกับการปะติดประต่อเรื่องราวจากปริศนาที่ซีรี่ส์หยอดมาให้เราทีละนิดๆ ส่วนซีซั่นนี้จะไปในแนว"เผยเบื้องลึกของจิตใจตัวละคร" เสียมากกว่า ในแต่ละ Episode เราจะเห็นการ Flashback เยอะมาก ทั้ง Flashback ไปหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีซั่นแรก และ Flashback ไปหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Timeline ของซีซั่นนี้ และแต่ละตอนจะมีตัวละคร "แฮนน่าห์" โผล่มามีบทสนธนากับตัวละครค่อนข้างมาก และบางทีก็เป็นบทสนธนาที่อิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีซั่นแรกด้วย ฉะนั้นก่อนดูซีซั่นนี้ผมก็อยากจะแนะนำให้ทบทวนดูซีซั่นแรกให้จบก่อนซักรอบเพื่อเป็นการ Recap ไปอีกทีนึง และก็ดูซีซั่นนี้ควบคู่ไปเลยจะได้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แบบไม่งุนงง และถ้าเราเข้าใจทัศนคติของตัวละครแล้ว เราจะเกลียดตัวละครยากมากขึ้นเพราะเรารู้เบื้องลึกของตัวละครว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น อย่างตัวละครไทเลอร์ที่ซีซั่นแรกผมรำคาญมาก แต่พอมาดูในซีซั่นนี้กลับกลายเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากที่สุดคนนึงเลย อย่างฉากที่ไทเลอร์โดนไม้ถูพื้นเสียบตูดเนี่ย มันให้ความรู้สึก Down มากจนเราแทบจะเลิกรำคาญตัวละครนี้ไปเลย แต่ที่มันแปลกหน่อยก็ตรงที่ผมแทบจะเข้าใจการกระทำของทุกตัวละครเนี่ยสิ!

มันจะมีเพียงตัวละครเดียวที่ผมไม่รู้สึกเห็นใจและเกลียดมากนั่นก็คือ "ไบรซ์" ซึ่งก็เป็นตัวละครที่ผมเกลียดมาตั้งแต่ซีซั่นแรกแล้ว พอมาซีซั่นนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น ซึ่งมันก็สะท้อนสังคมเราด้วยว่า "สัตว์ป่า ก็ยังเป็นสัตว์ป่าวันยังค่ำ และคนชั่ว ก็ยังเป็นคนชั่ววันยังค่ำ" และอีกอย่างที่มันใช่มากสำหรับผมก็คือ "ในสังคมจริง คนดีอยู่ไม่ได้" ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ "เคลย์" พยายามจะปรับตัว แต่ไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงตัวเองได้ และกำแพงที่คอยกั้นเขาไว้ก็คือ "แฮนน่าห์" สังเกตุจากฉากที่เคลย์กำลังจะมีอะไรกันกับสกาย แต่เขาทำไม่ได้เพราะ "แฮนน่าห์" ที่คอยเป็นกำแพงกั้นเขาตลอดเวลา และพอจบซีซั่นนี้ เรายังคิดว่าเคลย์ยังไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงของตัวเองได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำได้แล้วหนึ่งขั้น(เอาเทปไปปล่อยลีค) หวังว่าซีซั่นหน้าเคลย์จะพยายามให้มากกว่านี้เพื่อเติบโตและออกไปเผชิญโลกข้างนอกโดยที่ไม่มีแฮนน่าห์คอยเป็นกำแพงกั้นตัวเองตลอด

จากที่เขียนมา แทบจะไม่ได้บอกเลยว่าซีรี่ส์ดีหรือไม่ดี ผมว่าถ้าใครที่ชอบซีซั่นแรก แล้วรู้จักตัวละครทุกตัวแล้ว ผมว่าลองดูซีซั่นนี้ก็ได้นะ มันเป็นอีกส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตของตัวละครในซีซั่นแรก(Coming of Age) เป็นการเผยเรื่องราวที่เรายังไม่รู้ของตัวละคร(อย่างเช่นไทเลอร์) และเป็นการเริ่มต้นของจุดไคล์แมกซ์ของแต่ละตัวละครในซีซั่นนี้ ในตอนจบของ EP. สุดท้ายของซีซั่นนี้นั้นได้มีการบอกแบบนิดๆ แล้วว่า "หลังจากนี้ ทุกอย่างจะ Dark ขึ้น" จากเดิมแน่นอน

     ในส่วนของเรื่องราวเราว่าน่าติดตามมาก อาจจะสตาร์ทช้าในช่วงแรก แต่หลังจาก EP. สอง ความเข้มข้นมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดพีคในตอนจบที่ทำให้ผมอยากดูซีซั่นหน้ามาก และในบาง Episode นั้นผมว่ามันอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเลย ปมตัวละครก็มีการคลี่คลายหลายคน ถ้าใครชอบการดำเนินเรื่องแบบซีซั่นแรก ผมว่าซีซั่นนี้อาจจะชอบเท่ากันนะ


  1. ตัวละคร พัฒนาการเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ จากซีซั่นแรก และบางตัวละครนี่น่าสงสารมาก

     2. น่าติดตาม ช่วงแรกอาจจะช้า แต่หลังจากนั้นคือเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

     3. ขยี้อารมณ์ดี มีความสุข อมทุกข์ ตลก มันส์ มีหลากหลายอารมณ์แต่ขยี้ถึง

     4. Past, Present & Future ทุกช่วงมีองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยม

     5. นักแสดงทุกคน เล่นได้ดีมากๆ สมบทบาท

     6. เพลงประกอบ เป็นส่วนหนึ่งของการบิ้วท์อารมณ์ที่สุดมากๆ

ข้อเสีย

     1. ช่วงแรกช้า สตาร์ทช้า แต่พอสตาร์ทปุ๊บเครื่องติดและอารมณ์พุ่งมาก

ถ้าใครชอบซีซั่นแรก ผมว่าอยากให้ดูกันมากๆ เลย แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยดูซีซั่นแรก ผมก็อยากให้พิจารณาดีๆ ตามที่ผมได้ระบุไว้ข้างต้นบทความ ถ้าคุณมีความอดทนในการดูสิ่งที่ผมเขียนมาข้างบน คุณก็สามารถเปิดดูได้ใน Netflix เลยครับ


คะแนนเฉลี่ยรวม : 9.5/10

เรตหนัง : หนังดีที่ควรดู

Comments

Popular posts from this blog

แนะนำซีรีย์ :This Is a Robbery: The World’s Biggest Art Heist (2021)

แนะนำซีรีย์ : Resident Evil : New Raccoon City (2021)

แนะนำซีรี่ย์ : Let’s Fight Ghost (2016)